เทศน์เช้า

ธรรมเป็น

๒๒ ก.ค. ๒๕๔๓

 

ธรรมเป็น
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เขาพูดถึงว่า ธรรมะนี่ ธรรมะของเรา เราว่าธรรมะเป็น ธรรมะเป็น คือธรรมะนี่มีชีวิต ไม่ใช่ธรรมะตาย ธรรมะตาย คือเอาทฤษฎีมาจับกัน อธรรมะเป็นอากาศธาตุ เป็นความว่างอย่างนั้นเหรอ

ธรรมะเป็น ธรรมะเป็นๆ ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีชีวิตเป็นๆ อยู่ ๔๕ ปี สั่งสอนกันอยู่นี่ สั่งสอนอยู่ไป เห็นไหม

ตอนที่เขามาท้า ตอนแสดงยมกปาฏิหาริย์ ทุกคนเข้าไปขออาราธนา ขอพระโมคคัลลานะอะไรนี่ ไอ้พวกที่เขามาขอต่อ แสดงฤทธิ์น่ะ พระพุทธเจ้าบอก “ไม่ให้ๆ” แล้วกษัตริย์ก็พูด กษัตริย์ไปหาพระพุทธเจ้า บอกว่า “พระพุทธเจ้าห้ามคนอื่นแสดงฤทธิ์หมดเลย แล้วทำไมพระพุทธเจ้าจะมาแสดงฤทธิ์เองล่ะ”

พระพุทธเจ้าบอกว่า “เราเปรียบเหมือนเราเป็นเจ้าของไร่มะม่วง เราห้ามไม่ให้คนอื่นกินได้ไหม”

“ได้”

เราเองจะกินได้ไหม เพราะเราห้ามคนอื่นได้ไม่ได้ใช่ไหม แต่เราเองจะกินได้ไหม? ได้

นี่ก็เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนห้ามเอง ห้ามแสดงฤทธิ์แสดงเดช ห้ามหมดเลย แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แสดงได้ อันที่ว่าแสดงได้นี่ ธรรมะที่มีชีวิตไง สิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่เคลื่อนไหว สิ่งที่แสดงภาพได้ ไม่ใช่ธรรมะตาย เขาเอาธรรมะตาย ถ้าพระอรหันต์แล้วต้องมีสภาพเป็นแบบทฤษฎีทั้งหมด

ทฤษฎีเป็นทฤษฎีสิ แล้วก็ว่าเลยนะ เถรีที่ว่าโดนโขกโดนสับ พระพุทธเจ้าถึงได้บอกว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วก็มีพระอรหันต์ที่เป็นร่างค่อมไง ที่เป็นร่างค่อมเตี้ยนั่นน่ะ คนไปลูบเล่น กลัวเป็นบาป พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์

ไม่ได้บอกว่าเป็นพระอรหันต์ ถ้าสมมุติในปัจจุบันนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ถ้าอาจารย์มหาบัวเป็นอย่างนี้ เขาต้องไปบอกว่าอาจารย์มหาบัวประกาศว่าเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าก็ต้องตัดสินว่าเป็นหรือไม่เป็น เพราะมันเป็นการแสดงออก เห็นไหม ธรรมะที่มีชีวิต มันเป็นเหตุความจำเป็นของโลกเขา

มันมีอยู่ครั้งพุทธกาลนะ ที่ว่าเป็นกษัตริย์ ออกบวชแล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ไปไหนก็เปล่งวาจาว่า “สุขหนอๆๆ” เห็นไหม สุขมากๆ จนคนว่า อวดตัวว่าเป็นพระอรหันต์ ไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกมา แล้วตรัสว่า “ทำไมถึงว่าสุขหนอๆ”

“สุขจริงๆ” แต่เดิมมีกิเลสอยู่ ท่านบอกเป็นกษัตริย์อยู่ มีอำมาตย์ มีมหาดเล็กรักษาอยู่ นอนอยู่ก็สะดุ้งอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวนี้มานอนอยู่กลางป่ากลางเขาอยู่องค์เดียว แล้วภาวนาเข้ามานี่ นอนอยู่ที่ไหนก็มีแต่ความสุข ถึงเปล่งวาจาว่า สุขหนอๆ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รับประกันว่า นี่เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน เห็นไหม มันเหมือนกันว่า ไม่ใช่ว่ามีเหตุการณ์คนที่โดนโขกโดนสับอย่างเดียวที่แบบเขาว่า พระพุทธเจ้าถึงจะรับประกันว่าให้เป็น สวดขึ้นมาเพื่อป้องกัน คนที่แบบว่า เปล่งมีความสุขจริงๆ เพราะธรรมะมีชีวิตนี่ จิตใจนี้เป็นธรรม ธรรมนี้มีอยู่ในจิตใจดวงนั้น จิตใจดวงนั้นมีความสุขไป มันก็แบบว่า พูดได้ตามสัจจะความจริง เพราะมันเป็นสิ่งที่มีชีวิตอยู่ มันขยับเขยื้อนไปตามสัจจะความจริงอันนั้น

จะมาบอกว่าธรรมะนี้ต้องให้เป็นอากาศธาตุไง เป็นอากาศธาตุนะ ถ้าเป็นความว่างต้องว่างแบบอากาศธาตุ มีปฏิกิริยาขึ้นมาไม่ได้เลย เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต สิ่งที่ไม่มีชีวิตนั้นมันก็เป็นเหมือนกับทฤษฎี มันเข้ากันได้ เข้ากันได้กับหลักความสัจจริงของที่ว่า สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา

สุตมยปัญญา ความจำมานี่ ความจำมากับกิเลสมันขัดกันภายในตัวเอง ตัวเองน่ะ ไอ้ตัวกิเลสมันอยู่ภายใน แล้วความจำมานั้นเป็นอากาศธาตุ เป็นอากาศธาตุเพราะยังไม่เป็นความจริง ยังไม่เป็นความจริงก็จินตนาการว่าจะต้องเป็นแบบนั้น ธรรมะต้องเป็นแบบอากาศธาตุ คือความว่างที่ว่าไม่ไปสร้างความยุ่งยากให้ใครเลย เป็นสุญญากาศนะ ไม่สร้างความยุ่งยาก ไม่เป็นการทำให้คนผิดอกผิดใจไง

แต่ธรรมะมีชีวิต เห็นไหม มีชีวิต หมายถึงจิตดวงที่ว่ามีกิเลสอยู่นั้นน่ะมันยังคิดได้ขนาดนั้น ถ้าจิตดวงนั้นมันสะอาดขึ้นมามันก็เป็นความสะอาดอยู่ แต่ความคิดมันก็มีเป็นไปได้ ความเป็นไปได้นี่ ธรรมะมีชีวิต คือจิตดวงนั้นมันมีความสุขมาก เพราะมันผ่านพ้นออกไปจากกิเลส พอจิตดวงนั้นผ่านพ้นออกไปจากกิเลส แต่เวลาแสดงออกมาน่ะ ความแสดงออกเป็นกระแส เป็นกระแส คือความเคยชิน คือสันดานออกมานั้นเป็นอย่างหนึ่ง ความเป็นประโยชน์นี่อีกอย่างหนึ่ง

อย่างเช่นที่อาจารย์ออกมาทำนี่ มองถึงว่าประโยชน์ ท่านมองจุดที่เป็นประโยชน์ พอจุดที่ประโยชน์ ท่านบอกว่าเอาตรงนั้นออกไป มันไม่มีการได้การเสียในใจดวงนั้น ของใจดวงที่เป็นธรรมที่มีชีวิตนั้น แต่พวกที่อากาศธาตุนั่นน่ะมันเป็นความขัดอกขัดใจ เห็นไหม

ถึงบอกว่าผู้ที่ใจเป็นธรรมนี่ เหมือนกับศิลา ๘ ศอก ปักอยู่ในดิน ๔ ศอก ลมพัดก็ไม่หวั่นไม่ไหว นี่สิ่งที่ไม่มี แล้วเวลาที่ว่า ภวาสวะ ภพของใจมันขาดสิ้นไป เวลาสิ่งใดเข้าไปกระทบสิ่งนั้นไม่ได้ นี่ใจของผู้เป็นธรรม มีชีวิตอยู่ ถ้าพูดออกมาเหมือนกับมีอารมณ์ อันนั้นมันเป็นสันดาน แต่เวลาแสดงสิ่งที่โต้กลับมา ถ้าจะปล่อย จิตนี้เสวยอารมณ์ จิตนี้เสวยเวทนา เวลาจิตนี้กระเพื่อมขึ้นมาเสวยความรับรู้อันนั้น นั่นน่ะมันถึงจะมี

แบบของเขานี่ถ้าจิตมีกิเลสอยู่ ภวาสวะทุกอย่างมีพร้อมหมด เอาอะไรไปขัดข้อง ทั้งๆ ที่บอกว่าเป็นอากาศธาตุที่ไม่มีอะไรนะ แต่พอความขัดอกขัดใจขึ้นมา พอความขัดอกขัดใจว่านี่เป็นการแสดงอวดตน นี่เป็นการแสดงตน เป็นการจาบจ้วง เป็นการพูดไปเลยว่า มันเป็นไปไม่ได้ แต่จิตสิ่งที่มีชีวิตอยู่น่ะ เขาแสดงออกของเขาเฉยๆ เขาไม่มีการกระทบกระทั่งในหัวใจดวงนั้น มันผ่านพ้นไป มันกลับกัน กลับกันที่ว่า สิ่งที่บอกว่า สิ่งที่แสดงออกนั้นเป็นความผิด เขาว่าเป็นความถูกของเขา เพราะใจของเขามันเป็นธรรม ถ้าใจที่เป็นธรรมนะ สิ่งที่ใจไม่เป็นธรรมต่างหากเป็นผู้ที่ขัดอกขัดใจ

ความขัดอกขัดใจของสิ่งที่ไม่เป็นธรรม เห็นไหม แล้วก็ยึดอากาศธาตุ ยึดสุตมยปัญญา คือยึดอันนั้นออกมา แต่ความเป็นจริง พอยึดสุตมยปัญญาขึ้นมา จะต้องให้เป็นสุตมยปัญญา สุตมยปัญญาเป็นความจำมา กับความคิดของตนน่ะ มันไม่มีแก่นสาร ความว่าเป็นอากาศ ธรรมที่เป็นอากาศธาตุ ธรรมะตายมันไม่มีแก่นสาร มันไม่มีแก่น มันเป็นการสัญญา มันเป็นการจำ พอการจำคือการตีความ การตีความ ตีไปตีมา มันตีไปตีมา ตีให้โดนตัวเองเดือดร้อนไง ความที่ตีให้ตัวเองเดือดร้อน

แต่ธรรมะที่มีชีวิตน่ะ หนึ่ง หมดสิ้นจากความเดือดร้อน ความเดือดร้อน ความคับข้องใจอันนั้นมันไม่มี แต่มองถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นประโยชน์ออกมาถึงจะทำได้ ฉะนั้นว่า ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ก็ต้องยกขึ้นกล่าวโจทก์ แล้วพระพุทธเจ้าจะตัดสินเอง แต่อันนั้นมันไม่มี พระพุทธเจ้าวางไว้ว่า ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน เป็นปัจจัตตัง เป็นเอโก ธัมโม เป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะตนอยู่แล้ว

อันนี้ถ้าเราไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับก็ได้ เพราะถ้าใครไม่ยอมรับก็ต้องวางไว้ให้สิ่งที่ว่าถึงเวลามันเป็นไป ไม่ใช่ตัดสินไปเลย เวลาตัวเองว่าธรรมะนี่ต้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตัดสิน นี่ว่าเอาพระไตรปิฎก คือว่าเขาว่าเขาตัดสินได้เพราะเขาศึกษาพระไตรปิฎกมา พระไตรปิฎกมันก็ขัด เห็นไหม ในพระไตรปิฎกใครจะเอาส่วนไหนออกมา

อย่างเช่นในพระไตรปิฎกนี่ก็บอกไว้ว่า มีเป็นเล่มเลยที่พูดถึงเรื่องเทวดา เรื่องสวรรค์ เรื่องทุกอย่างมี เห็นไหม ว่าอย่างนั้นมี ทำไมเขาปฏิเสธพระไตรปิฎกช่วงนี้ล่ะ ช่วงที่ไม่มี นี่ให้เป็นปัจจุบันธรรม

การข้ามภพข้ามชาตินี้เป็นการว่า ถ้าอดีตชาติ หรือว่าตายไปแล้วไปเกิดในอนาคตนี่ มันเป็นการที่ว่า แก้ไขสิ่งใดไม่ได้ แต่สัจจะความจริงของเรา เราเข้ามาว่าจริตนิสัย เวลามันเป็นความละเอียดอ่อนของใจไง ใจมันพลิกแพลงไป ความชอบของใจไง จูฬปันถกนี่เป็นการยืนยันได้ว่า...จูฬปันถก เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาให้ลูบผ้านั่นน่ะ แล้วบอก แล้วถึงว่าทำไมถึงเป็น นี่มันจะเป็นประโยชน์สำหรับการที่เวลาเราเข้าไง

เหมือนกับการวิเคราะห์โรค ถ้าการวิเคราะห์โรค สมุฏฐานของโรคนี่รู้ได้หมด ถ้ารู้สมุฏฐานของโรคได้หมด จะไปแก้ไขโรคนั้นได้ง่าย ถ้าเราสมุฏฐานของโรค คือว่าคนไข้มาจะเช็ค แต่คนไข้ที่เข้ามาถึงโรงพยาบาลเท่านั้น สิ่งที่ว่าคนไข้ทำไปในอดีตมา คือว่าสิ่งที่เป็นสมุฏฐานโรคขึ้นมาจะไม่คิดสิ่งนั้น เป็นไปได้อย่างไร นี้คือโรคของกิเลส โรคของกิเลสฝังอยู่ที่ใจ ในพระไตรปิฎกถึงว่า สิ่งที่เป็นประโยชน์ เขาก็ตัดสิทธิ์ออกไป แต่เวลาเขาจะจับผิดขึ้นมาอย่างนี้ คือว่าเขาจะจับผิด เขาเอาพระไตรปิฎกขึ้นมาอ้างอิง อ้างว่าเป็นอากาศธาตุที่เข้ามาจับจิต

ธรรมะที่มีชีวิตไง ถึงบอก ธรรมะที่มีชีวิตคือมันยังมีชีวิตอยู่ มันขยับเขยื้อนได้ เขาจะไม่ให้ธรรมะนี้ขยับเขยื้อนเลยนะ ให้เป็นธรรมะตายๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ ถ้าธรรมะตายๆ มันจะเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมาล่ะ มันถึงว่าสำคัญตรงนี้ไง ตรงที่ว่าต้องติดครูติดอาจารย์ พวกเราศึกษาเล่าเรียนขึ้นมานี่ เวลาทำขึ้นไปแล้วมันจะมีความลังเลสงสัย ความก้าวเดินของเราจะก้าวเดินไปได้ไม่สะดวก

แต่ถ้ามีครูมีอาจารย์ ผู้รู้ เห็นไหม การติดครูติดอาจารย์ คือการชี้ถูกชี้ผิดของการวางอารมณ์ การทำให้อารมณ์เข้าไป แล้วทำความสงบๆ เข้าใจว่าทำความสงบ ทำความสงบทั้งหมด แล้วมันสงบจริงไหมล่ะ? มันสงบไม่จริง ความสงบไม่จริง มันถึงว่ามันเข้าไม่ถึงฐานของใจ พอเข้าไม่ถึงฐานของใจ มันเป็นมิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธิ

ทำไมมันมีล่ะ ถึงว่าสงบจริงหรือไม่สงบจริง

มิจฉาสมาธิ เห็นไหม การทำฌานสมาบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปศึกษามาก่อน แต่เวลามาทำวิปัสสนา ทำอานาปานสติ นี่สัมมาสมาธิ สมาธิเข้ามาๆ เข้ามาข้างใน สัมมาสมาธินี่ ทำความสงบๆ ทำความสงบกัน แล้วทำไมถึงว่าไม่สามารถเข้าไปรู้เรื่องอย่างนี้ได้ แต่ผู้ที่รู้เรื่องอย่างนี้ได้ก็ยังถือว่าไม่เห็นจริง ไม่เห็นตามไปด้วย ไม่เห็นจริงไม่เห็นตามเพราะมันไม่ได้ทำไง มันถึงว่าเป็นอากาศธาตุ ธรรมะที่เป็นธรรมะตาย ธรรมะที่ดิ้นไม่ได้

ไม่ใช่ธรรมะดิ้นเพื่อกิเลสนะ เหลี่ยมคูของกิเลสนั้นเป็นเหลี่ยมคูของกิเลสที่ทำให้หลงใหล ธรรมะนี่มันทันเหลี่ยมคูของกิเลส

เหลี่ยมคูของกิเลสคือเหลี่ยมคูของเรา ความคิดเราเอง เราทันเหลี่ยมคูของเรา แล้วเราลบเหลี่ยมคูของเราออกทั้งหมด เหลี่ยมคูในหัวใจนะ ต้องลบเหลี่ยมคูของเรา ไม่ใช่ลบเหลี่ยมคูของคู่กรณี คู่กรณีคือเรื่องภายนอก แต่คู่กรณีของเราคือกิเลสกับใจ ลบเหลี่ยมคูของเรา เห็นไหม

นี่ถึงว่า ไม่ใช่ว่าดิ้นได้เพื่อจะตีความเอาชนะ เอาความเห็นของตัวเป็นใหญ่ ถ้าตีความเอาความเห็นของตัวเป็นใหญ่ มันก็เป็นเรื่องของกิเลสอีก เห็นไหม มันต้องตีความ ตีความหมายถึงว่ามันดิ้นได้ หมายถึงว่า มันเป็นประโยชน์ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นโทษมันจะไม่ทำ นี่จิตถึงไม่เสวยอารมณ์ ผู้ที่พ้นแล้ว จิตพ้นจากอารมณ์ต่างๆ พ้นจากทุกอย่าง เสวยขึ้นมาแล้วต้องมาแบ่งว่า เสวยขึ้นมาคือว่ารับรู้ รับรู้สรรพสิ่ง รับรู้แล้วถึงจะแบ่งว่าเป็นโลกหรือเป็นธรรม

ถ้าเป็นธรรมก็ทำเพื่อประโยชน์ ถ้าเป็นโลกก็ไม่ทำเพื่อประโยชน์ คำว่า “ดิ้นได้” ถ้าตีความทางโลก ดิ้นได้หมายถึงว่าดิ้นไปทางกิเลสใช่ไหม? ไม่ใช่ ไม่ได้ดิ้นตามกิเลส นี่ธรรมะที่มีชีวิตถึงเป็นอีกอย่างหนึ่ง (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)